บลูเบอร์รี่มีดีอย่างไรบ้าง

 หลายคนคนเคยเห็นและเคยทานบลูเบอร์รี่กันมาบ้างแล้ว เพราะเป็นผลไม้ที่กินแล้วมีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างมาก วันนี้เราจะมาแนะนำรายละเอียดของบลูเบอร์รี่ให้ทราบกันค่ะ บลูเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่มีต้นกำเนินมาจากประเทศในแถบอเมริกาเหนือ ลำต้นมีลักษณะเป็นพุ่มสูงใบจะมีลักษณะเป็นรูปไข่หรือรูปคล้ายหอก มีดอกสีขาว สีชมพูและสีแดงลักษณะของดอกจะคล้ายกับระฆัง ส่วนผลของบลูเบอร์รี่จะมีลักษณะกลมๆเล็กๆ ที่ปลายของผลจะมีวงแหวนเล็กๆมีลักษณะเหมือนกับมงกุฎ สีของผลบลูเบอร์รี่จะแบ่งออกเป็นระยะแรงจะมีสีเขียว แต่พอเริ่มโตมาหน่อยจะเริ่มมีสีแดงม่วงและเมื่อสุกจะมีสีครามและมีรสหวานอมเปรี้ยว

อย่างที่เราทราบกันดีว่าบลูเบอร์รี่มีประโยชน์มากมายเพราะในผลของบลูเบอร์รีจะให้วิตามินซีสูงและยังมีสารอื่นๆอีกมากมายเรามาดูกันว่าประโยชน์ที่เราจะได้จากการทานบลูเบอร์รี่มีอะไรบ้าง

เพราะในบลูเบอร์รีมีทั้งวิตามินและแร่ธาตุเยอะหลายชนิดและแต่ละชนิดก็มีประโยชน์ต่อร่างกายทั้งสิ้นดังนั้นการ

ทานบลูเบอร์รีจึงสามารถช่วยซ่อมแซมเซลล์ที่อยู่ในร่างกายให้มีแข็งแรงห่างไกลจากโรคภัยต่างๆได้มากขึ้นรวมถึงการป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง หรือแม้แต่ปัญหาเลือดออกตามไรฟันก็สามารถช่วยได้

  1. เนื่องจากมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง จึงสามารถเพิ่มการทำงานของเซลล์ให้มีประสิทธิ์ภาพมากยิ่งขึ้น โดยสามารถช่วยลดปัญหาการอักเสบของหลอดเลือด ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้ป้องกันการเกิดปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจและโรคที่เกี่ยวสมองและประสาท และที่สำคัญที่คนนิยมกินกันมากเพราะว่าจะช่วยในเรื่องการชะลอการแก่และช่วยในเรื่องของริ้วรอยไม่ให้มากวนใจ
  2. เนื่องจากผลไม้มีรสหวานอมเปรี้ยวจึงช่วยให้ร่างกายมีความกระปรี้กระเปร่าเมื่อได้ทาน กินแล้วจะรู้สึกสดชื่นขึ้นมาก
  3. ช่วยให้ระบบการย่อยอาหารดี ขับถ่ายคล่องไม่เป็นโรคท้องผูกช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งลำไส้
  4. มีสารที่ช่วยยับยั้งการทำงานของแบคทีเรียที่อยู่ตามผนังท่อทางเดินปัสสาวะ ทำให้ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับการเกิดการอักเสบ
  5. อีกเหตุผลที่เป็นประโยชน์ของบลูเบอร์รี่และทำให้คนนิยมกินกันมากก็คือ บลูเบอร์รีกินแล้วอิ่มแล้วให้พลังงานต่ำเหมาะอย่างมากสำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก
  6. บลูเบอร์รีช่วยในเรื่องของการลดคอเลสเตอรอลและการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้เพราะมีสารเพคติน
  7. และที่สำคัญสามารถล้างสารพิษในร่างกายได้ 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  Kardinal stick

เด็กที่พิการทางการได้ยินก็มีความต้องการใช้เครื่องช่วยฟังเหมือนกัน

มีเด็กหลายคนที่มีปัญหาการไม่ได้ยินเสียงมาตั้งแต่เกิดและก็ยังมีอีกหลายคนที่มีปัญหาหลังจากที่คลอดออกมาแล้ว ซึ่งการมีปัญหาด้านการได้ยินมีหลายสาเหตุด้วยกัน สำหรับเด็กบางคนอาจเกิดจากโรคภัยไข้เจ็บและการเกิดอุบัติเหตุที่มีผลกระทบมาถึงหูส่งผลให้สมีปัญหาเกี่ยวกับการฟัง

สำหรับเด็กที่เกิดมาร่างกายปกติทุกอย่างตั้งแต่เกิดแล้วต่อมาต้องมามีปัญหาทางร่างกายส่งผลให้ไม่ได้ยินเสียง เชื่อว่าสภาพจิตใจของเด็กจะต้องแย่มากๆ เพราะหากเป็นผู้ใหญ่เองที่ต้องเจอปัญหาแบบเดียวกัน กว่าจะยอมรับสภาพของตัวเองได้ก็ยังต้องทำใจอยู่นาน ถึงแม้ผู้ใหญ่จะมีวุฒิภาวะมากกว่าเด็กก็ตาม ดังนั้น ไม่ต้องพูดถึงสภาพจิตใจของเด็กเลย ซึ่งการเกิดการเปลี่ยนแปลงกระทันต่อร่างกายจะส่งผลกระทบกับจิตใจของเด็กอย่างมาก

ดังนั้นหากปัญหาที่เกิดขึ้นคือการไม่ไดยินเสียง เครื่องช่วยฟังจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเด็ก ถ้าแม้ว่าจะเข้าจะต้องรับรู้ว่าต่อไปนี้จะต้องใช้เครื่องช่วยฟังในการรับฟังเสียง เขาจะไม่สามารถฟังเสียงจากหูของตัวเองแบบธรรมชาติได้แล้ว แต่เชื่อว่าเด็กจะมีการปรับสภาพจิตใจได้เร็วขึ้นกว่าเดิม

เพราะเด็กจะยังสามารถสื่อสารกับคนอื่นได้ตามปกติ ทำให้เขาไม่ได้รู้สึกแปลกแยกจากคนอื่น มีตัวอย่างของเด็กแถวบ้าน เป็นเด็กผู้หญิง เขามีปัญหาเรื่องการได้ยินตั้งแต่อายุ 1 ขวบแต่ช่วงแรกๆ พ่อแม่ ไม่มีความรู้เกี่ยวกับเครื่องช่วยฟัง และคิดว่ามันแพงเกินไป จึงไม่ได้สนใจที่จะหาซื้อมาให้ลูกใช้งาน จนมีผลต่อการพัฒนาการของลูก เด็กเริ่มไม่ค่อยพูด และพูดได้ช้าลง ไม่ค่อยไปเข้าสังคม ไม่เล่นกับใคร

เพราะเด็กมีความรู้สึกถึงความแตกต่างๆ จนเด็กอายุ ได้ 5 ขวบ พ่อแม่จึงเริ่มหันมาศึกษาเกี่ยวกับเครื่องช่วยฟังว่ามีประโยชน์ยังไง ดียังไง แล้วจึงเริ่มได้ซื้อเครื่องช่วยฟังให้กับลูกใช้ แต่มันก็เกือบจะสายเกินไปเสียแล้ว เพราะลูกมีการหยุดพัฒนาการไปสักพักแล้วต้องมาเริ่มฟื้นฟูกันใหม่

ซึ่งเป็นการเสียเวลาสำหรับเด็กและพ่อแม่ ปัจจุบันเด็กคนดังกล่าวยังคงใช้เครื่องช่วยฟัง และเขาดูมีความสุขขึ้น เขาสามารถมีเพื่อนเล่นและยิ้มแย้มแจ่มใส พูดคุยกับคนอื่นมากขึ้น ถึงแม้ว่าการตอบโต้กับคนอื่นอาจจะไม่เร็วเท่าเพื่อน แต่การที่เขาได้ใช้เครื่องช่วยฟังก็ทำให้เขาได้ใช้ชีวิตในสังคมได้ง่ายขึ้น พ่อกับแม่ไม่ต้องคอยมานั่งห่วงกังวลในตัวลูกของเขามากเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว แค่มี เครื่องช่วยฟัง เข้าใช้งานงานชีวิตก็ง่ายขึ้นทั้งลูกและพ่อแม่

คนท้องควรกิน !!!

สำหรับหญิงสาวคนไหนที่กำลังท้องควรจะมีการบำรุงตัวเองเป็นพิเศษเพราะอาหารที่เรากินเข้าไปนั้นจะส่งผลต่อการพัฒนาของลูกน้อยในครรภ์ของเราด้วย ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาทางด้านร่างกายหรือสมอง ล้วนส่งผลทั้งสิ้นดังนั้นคุณแม่ที่กำลังตั้งท้องควรจะหาอะไรกินเพื่อเข้าไปเสริมสร้างร่างของของลูกน้อยให้แข็งแรง

มาดูกันว่ามีอาหารอะไรบ้างที่คุณแม่ที่กำลังตั้งท้องควรกิน

  1. ปลาแซลมอน  อย่างแรกเลยคือเนื้อปลา คุณแม่ควรทานเนื้อปลาให้มากมาก ปลาอะไรก็ได้ยิ่งเฉพาะปลาแซลมอนจะดีมากมากเพราะปลาชนิดนี้มีโอเมก้า 3 เยอะซึ่งมันจะช่วยให้ลูกน้อยของคุณมีความจำดีเป็นเด็กฉลาด หากเรากินปลาแซลมอนตั้งแต่ลูกเราอยู่ในท้องก็ประโยชน์ของปลาที่เราจะได้รับจะส่งผลทั้งต่อตัวแม่เองและลูกน้อยในท้องเพราะโอเมก้า 3 จะเข้าไปพัฒนาการทำงานของระบบสมองให้กับทารกในครรภ์
  2. ผักใบเขียวเข้ม อันนี้เราก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่าผักใบเขียวนั้นมีประโยชน์อย่างมาก เพราะจะเต็มไปด้วยวิตามินทั้ง เอ , ซี , เค , และยังมีพวกกรดโฟลิกและแคลเซียมที่คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์จำเป็นต้องใช้งานในปริมาณที่มากอย่างยิ่ง ซึ่งหากเรากินผักใบเขียวเข้าไปจะส่งผลให้ลดความเสี่ยงให้กับเด็กในท้องไม่ต้องมีความผิดปกติตั้งแต่เกิด และยังช่วยเรื่องการดูแลสุขภาพของทั้งแม่และเด็กให้แข็งแรง ซึ่งยังมีผลต่อการพัฒนาการของเด็กทารกได้อีกด้วย ตัวอย่างของผักใบเขียวเข้มที่ควรกิน ได้แก่ ผักคะน้า ผักบรอกโคลี หรือแม้แต่ผักโขม
  3. ข้าวโอ๊ต  สำหรับอาหารที่เหมาะกับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์นั้น ข้าวโอ๊ตคือหนึ่งในอาหารที่คุณแม่ควรกิน เพราะข้าวโอ๊ตจะมีใยอาหารเยอะ รวมถึงมีทั้งวิตามินบีและแร่ธาตุต่างๆ ดังนั้นหากคุณแม่ที่กำลังท้องกินจะช่วยคุณแม่เรื่องของลดความเสี่ยงในการเป็นโรคโลหิตจางและยังช่วยคุณแม่ในเรื่องการอาเจียน คลื่นไส้ ที่สำคัญช่วยให้ท้องไม่ผูกอีกด้วย ส่วนทางด้านของทารกเองก็จะเข้าไปช่วยเกี่ยวกับการบำรุงสมองของทารก และการสร้างเซลล์สมองและอวัยวะต่างต่างของทารกให้สมบูรณ์แข็งแรง

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ นี้เป็นเพียงอาหารบางส่วนที่เหมาะกับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ยังมีอีกหลายเมนูที่คุณแม่ช่วงตั้งท้องควรจะต้องกินอาหารเหล่านี้ให้มากดีกว่าการไปหาซื้อยาเสริมร่างกายมากินเพราะการกินอาหารเหล่านี้ปลอดภัยมากกว่าการกินยาเสียอีก  ทั้งอิ่มและมีประโยชน์แบบนี้แล้ว คุณแม่แม่ทั้งหลายอย่าลืมหามาทานกันนะคะ

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  ชุดตรวจ hiv

ท้องเสียมากจากการดื่มกาแฟ


ท้องเสียมากจากการดื่มกาแฟ
หลายๆ คนบางทีอาจจะเคยสังเกตว่าสินค้าลดความอ้วน หรือยาระบายถ่ายท้องสำหรับผู้ที่มีลักษณะท้องผูก มักมาในลักษณะของกาแฟสำเร็จรูป บางบุคคลกล่าวว่าดื่มกาแฟอย่างไรก็จำต้องถ่ายอยู่แล้ว เพียงแค่กาแฟปกตินี่แหละ ไม่ต้องใส่สมุนไพรมะขามแขกหรืออะไรทั้งหมด แต่ว่ากับบางบุคคลก็ดื่มกาแฟแล้วไม่มีอาการอะไรใดๆ เพราะเหตุใดถึงเป็นแบบนั้น?

นพ.พิรัตน์ หมอผู้ที่มีความเชี่ยวชาญสาขาอายุรศาสตร์ เจ้าของเฟซบุ๊คเพจ ความรู้สนุกๆ แบบหมอแมว ชี้แจงว่า

กาแฟ รวมทั้งคาเฟอีนมีฤทธิ์กระตุ้นตัวรับมัสคารินิก ซึ่งกระตุ้นให้ลำไส้ของเรามีการบีบตัว นอกนั้นการกินน้ำ (กาแฟ) ในจำนวนมาก (3 แก้วขึ้นไป) ก็ทำให้กระเพาะยืดตัว กระตุ้นแก๊สโตรโคลิกรีเฟล็กซ์ ซึ่งทำให้เกิดการถ่ายอย่างหมดไส้หมดท้องได้”

แม้กระนั้นกรณีนี้จะเกิดขึ้นก็เมื่อเป็นผู้ที่ไม่เคยดื่มกาแฟมาก่อน หรือนานๆ ดื่มกาแฟ ไม่ได้ดื่มกาแฟเป็นประจำทุกวัน ด้วยเหตุผลดังกล่าวคนใดกันแน่ที่รู้สึกตัวว่าไม่ค่อยได้ดื่มกาแฟ ก็อย่าดื่มกาแฟมาก เพราะว่านอกเหนือจากจะมีความเสี่ยงต่ออาการท้องเดินแล้ว บางทีอาจโดนฤทธิ์ของคาเฟอีนเข้าไปได้ (ในบางราย) เช่น ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว นอนไม่หลับ ไม่สบายใจ ปวดหัว หรือบางบุคคลบางครั้งก็อาจจะแพ้คาเฟอีน ยกตัวอย่างเช่น ริมฝีปาก หรือลิ้นบวม ผื่นขึ้น ถ้าหากมีลักษณะอาการร้ายแรงบางทีอาจถึงกับขนาดหน้าบวม หายใจไม่ออก อ้วกคลื่นไส้ แล้วก็เวียนหัวได้ด้วยเหมือนกัน

โดยเหตุนั้น เทคนิคสำหรับผู้ที่ไม่ค่อยได้ดื่มกาแฟแล้วต้องการดื่มเพื่อแก้ง่วงนอน หรือต้องการดื่มเพื่อลิ้มชิมรสชาติ ควรที่จะเลือกดื่มกาแฟในสูตรที่ไม่เข้มข้นมากมาย อาจจะเริ่มต้นจากกาแฟลาเต้ มอคค่า หรือสั่งบาริสต้าให้ลดความเข้มข้นกาแฟลง รวมทั้งอย่าดื่มเกิน 1 แก้วในคราวเดียว ตลอดวันไม่ดื่มเกิน 3 แก้ว (แก้วกาแฟ) จิบครั้งละนิด เบาๆ ไม่ดื่มรวดเดียวหมด หรือจะหาอาหารทานระหว่างดื่มกาแฟไปด้วยก็ได้ จะช่วยทำให้ร่างกายซึมซับคาเฟอีนช้าลง

หูฟังใช้อย่างไรไม่ทำให้หูหนวก

         อาจพูดได้ว่าปัจจุบันหูฟังเป็นอุปกรณ์ที่ผู้คนนิยมใช้งานกันมากอย่างหนึ่ง เพราะไม่ว่าเราจะฟังข่าว เล่นเกม หรือฟังเพลง เราสามารถใช้หูฟังเพื่อให้เสียงที่เราได้ยินไม่ไปรบกวนผู้อื่น แต่คุณรู้หรือไม่ว่าการใช้หูฟังนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เพราะหากเราใช้หูฟังอย่างไม่ถูกต้อง จะมีผลเสียระบบการได้ยินของหูของเราด้วย เช่นทำให้หูหนวกได้  

ปัจจุบันหูฟังมีการจำผลิตและจำหน่ายอยู่ 3 แบบ เราเรามาดูกันว่าแต่ละแบบมีข้อดีและข้อเสียอย่างไรบาง และเราควรเลือกใช้หูฟังแบบไหน ที่จะทำให้หูของเราไม่ต้องเสี่ยงเป็นโรคหูหนวก

1.หูฟังแบบที่ครอบหู  ซึ่งหูฟังชนิดนี้จะนิยมใช้งานกันมากในกลุ่มวัยรุ่น โดยหูฟังแบบนี้จะสามารถป้องกันเสียงของบรรยากาศจากภายนอกไม่ให้เข้าไปในหูได้  ดังนั้นผู้ใช้งานจึงไม่จำเป็นต้องปรับระดับความดังของเสียงมากเกิดไป จึงไม่เกิดอันตรายต่อหู แต่ข้อเสียคือหูฟังชนิดนี้จะมีลักษณะที่ใหญ่ บางคนจะรู้สึกไม่สะดวกที่จะต้องพกพาออกไปใช้งานนอกบ้าน

2.หูฟังแบบเอียร์บัด  สำหรับหูฟังชนิดนี้ จะไม่ค่อยช่วยป้องกันเสียงรบกวนจากบรรยากาศรอบนอกได้ดีนัก การใช้งานเพียงใส่ไว้ที่รอบนอกรูหู ดังนั้นคนที่ใช้งานส่วนใหญ่จะใช้งานเมื่อยามออกนอกบ้านเท่านั้น แต่ข้อเสียของหูฟังชนิดนี้คือ เมื่อไม่สามารถกั้นเสียงจากภายนอกไม่ให้เข้าไปในหูได้ ดังนั้นผู้ใช้งานส่วนใหญ่จะมีการปรับระดับเสียงที่หูฟังให้มีความดังมากขึ้น ซึ่งจะมีผลเสียต่อหู อาจะทำให้เกิดปัญหาแก้วหูอักเสบหรือเป็นโรคหูหนวกได้

3.หูฟังชนิดเสียบหู สำหรับหูฟังชนิดนี้ จะมีขนาดเล็กสามารถพกพาไปไหนมาไหนได้สะดวก อีกทั้งยังสามารถป้องกันเสียงบรรยากาศจากภายนอกไม่ให้เข้าไปรบกวนในหูได้ ดังนั้นผู้ใช้งานจึงไม่จำเป็นต้องปรับเสียงให้ดังมากนัก ไม่เป็นอันตรายต่อหู แต่ข้อเสียของหูฟังชนิดนี้คือ เมื่อเราไม่ได้ยินเสียงภายนอก อาจทำให้เราเกิดอุบัติเหตุได้หากนำมาใช้งานนอกบ้าน

 ที่บอกว่าหูฟังจะมีผลกระทบต่อการทำให้หูหนวกนั้น เพราะโดยปกติแล้วคนเราไม่ควรฟังเสียงที่ดังเกิน 90 เดซิเบลและการใช้งานหูฟังก็ไม่ควรใช้งานนานต่อเนื่องเกิน 1 ชั่วโมงที่สำคัญเราควรปรับความดังของหูฟังไม่ควรเกิน 60 % ของความดังสูงสุดของอุปกรณ์ ซึ่งหากหูของเราได้ยินเสียงที่ดังมากๆ นานๆ อาจทำให้เกิดปัญหาหูอักเสบหรือหูหนวกได้ 

ขอขอบคุณบทความดีๆจาก เว็บ เครื่องช่วยฟัง ที่แนะนำเรื่องราวดีๆให้แก่บุคคลที่สนใจ

เช็คสุขภาพก่อนวิ่งเพื่ออะไร

สำหรับผู้ที่กำลังจะเริ่มต้นออกกำลังกายด้วยการวิ่งนั้น ควรทำการตรวจสุขภาพก่อน เพราะจากเหตุการณ์ที่ผ่านมามักพบการที่เราไม่สามารถคาดเดาเหตุการณ์ข้างหน้าได้ซึ่งจะพบกับนักวิ่งอยู่เสมอ คือการที่กำลังป่วยเป็นโรคบางอย่างอยู่ และเมื่อวิ่งทำให้อาการของโรคกำเริบจนเสียชีวติ โดยเฉพาะโรคหัวใจ ซึ่งหากใช้กำลังหรือออกแรงมากกว่าปกติจะส่งผลกับการเต้นของหัวใจ ทำให้เสียชีวิตจากหัวใจวายขณะวิ่งได้ ดังที่เป็นข่าวอยู่บ่อยๆ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของนักวิ่งเอง ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพก่อนวิ่งอยู่เสมอ ด้วยเหตุผล 2 ข้อ ดังนี้

1. ค้นหาโรคร้ายที่ซ่อนอยู่
ในการตรวจสุขภาพนั้นแน่นอนว่าเป็นการเช็คทุกอย่างของร่างกายเราเพื่อทำการตรวจคัดกรองโรคทั่วไปที่อาจไม่สามารถตรวจพบได้ หรือไม่มีแสดงอาการออกมาก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะโรคหัวใจ ซึ่งการออกแรงมากเกินกว่าปกติต่อเนื่องกันเป็นเวลานานจะส่งผลโดยตรงกับการเต้นของหัวใจทำให้หน้ามืด เป็นลม เเน่นหน้าอก ใจสั่น หรือเสียชีวิต รวมถึงโรคร้ายอื่นๆ เช่น โรคเนื้อเยื่อสมองเสื่อมรุนแรงเรื้อรัง ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของนักกีฬาอาชีพ อย่าง ไมค์ เว็บสเตอร์ (Mike Webster) นักอเมริกันฟุตบอลผู้มีชื่อเสียง ที่ปฏิเสธการตรวจสุขภาพก่อนลงแข่ง

2. ประเมินความเสี่ยงของร่างกาย
ร่างกายของทุกคนมีพื้นฐานความแข็งแรงและอื่นๆ ที่แตกต่างกัน ดังนั้นร่างกายจึงสามารถรองรับหรือทนต่อสิ่งต่างๆ ได้แตกต่างกัน ดังนั้นในการวิ่งมาราธอนที่ต้องใช้กำลังกายและกำลังใจมาก โดยเฉพาะกับผู้ที่ไม่เคยลงสนามมาก่อน หรือพึ่งลงวิ่งมาราธอนเป็นครั้งแรก บอกกับสภาพอากาศที่ร้อนมากของประเทศไทยยิ่งทำให้การวิ่งนั้นหินมาก มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด (Harvard University) ได้ทำการศึกษาวิจัย และพบว่า มีคนหนุ่มสาวเสียชีวิตขณะเล่นกีฬามากกว่า 200-300 คน ในทุกๆ ปี โดยสาเหตุการตายก็จะมี โรคหอบหืด โรคลมแดด ดังนั้นการหายใจให้เป็นจังหวะและดื่มน้ำให้เพียงพอในระหว่างวิ่ง รวมถึงหมั่นสังเกตอาการขณะวิ่ง ไม่ควรฝืนหากพบว่ามีอาการผิดปกติ การพบแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงก่อนออกวิ่งจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม

โรคพยาธิชอนไชผิวหนัง อันตรายแค่ไหน

โรคพยาธิชอนไชผิวหนัง เกิดจากสาเหตุใด ?
จากกรณีการเสนอข่าวเรื่องมีพยาธิสตรองจิลอยด์ (Strongyloidiasis) ที่พบผู้ป่วยติดเชื้อถึงแก่ความตาย ในผู้ที่ไม่สวมรองเท้าชอบเดินเท้าเปล่า จากการที่มีพยาธิไชผิวหนังเข้าไปในร่างกายและเข้าสู่กระแสเลือด ลุกลามไปถึงอวัยวะสำคัญต่างๆ และเสียชีวิตในที่สุด โรคพยาธิชอนไชผิวหนัง เกิดจากพยาธิตัวกลมระยะตัวอ่อนที่สามารถไชเข้าสู่ผิวหนังได้ และพยาธิปากขอที่พบในสัตว์อย่าง แมว สุนัข วัว และควาย รวมไปถึงพยาธิเส้นด้ายของสัตว์

พยาธิ พบได้ที่ไหน ?
แพทย์หญิงมิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า พยาธิตัวอ่อนในระยะติดต่อพบในดินที่ชื้นแฉะที่ปนเปื้อนมูลสัตว์ และจะไชเข้าสู่ผิวหนังปกติ หรือผิวที่มีแผล ในคนที่เดินเท้าเปล่า หรือเด็กที่นั่งเล่นบนพื้นดิน หรือทรายบริเวณชายหาด

อาการของโรคพยาธิชอนไชผิวหนัง
1. ผื่นขึ้นบริเวณมือ เท้าหรือก้นที่สัมผัสกับดินทรายโดยตรง
2. เห็นเป็นเส้นนูน แดง หรือตุ่มน้ำใส ขนาดประมาณ 3 มม. และอาจยาวถึง 20 ซม. คดเคี้ยวไปมาตามการไชของพยาธิ ซึ่งจะเคลื่อนที่ได้วันละ 2-3 มิลลิเมตร หรือหลายเซนติเมตร
3. มีอาการคันมาก อาการทางผิวหนังมักจะเกิดใน 1-5 วันหลังสัมผัส และคงอยู่ได้นาน 2-14 สัปดาห์หรือนานเป็นปี
4. อาการอื่น ๆ ที่อาจพบในผู้ป่วยบางราย เช่น อาการทางปอด เช่น ไอ หรือ ผื่นลมพิษ
สำหรับตัวจิ๊ดหรือตัวอ่อนของพยาธิจะเคลื่อนที่อยู่ในผิวหนังชั้นลึกๆ จะมีอาการบวมแดง อักเสบและปวด เมื่อพยาธิย้ายที่ไปมา แตกต่างกับกลุ่มพยาธิปากขอ ที่ไม่สามารถเติบโตในร่างกายคนได้ จึงทำได้เพียงแค่ไชอยู่ในผิวหนัง จนตายไปเอง หรือร่างกายเราสามารถกำจัดได้เองจากภูมิคุ้มกันหรือจากการรักษา

การรักษาโรคพยาธิชอนไชผิวหนัง
สำหรับการรักษาพยาธิ สามารถใช้ยาฆ่าพยาธิ ชนิด albendazole 400 มก.ต่อวัน นาน 3 วัน หรือ ivermectin รับประทานครั้งเดียว เป็นการรักษาที่ได้ผลดี เนื่องจากในประเทศไทยพบอัตราการเป็นโรคพยาธิปากขอสูงในแมวและสุนัข และสัตว์เลี้ยงทั้งสองก็มีมากในประเทศไทยทั้งที่มีเจ้าของและไม่มีเจ้าของ จึงมีโอกาสที่พยาธิปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมมาก การป้องกันที่ดีที่สุดคือ ไม่ให้พยาธิไชเข้าร่างกาย จะต้องสวมรองเท้าเวลาเดินเสมอ และหลีกเลี่ยงการนั่งหรือสัมผัสบนดิน ทราย ที่อาจมีการปนเปื้อนมูลสัตว์ และควรถ่ายพยาธิให้แมวและสุนัขเพื่อไม่ให้มีการแพร่ปรสิตสู่ดิน

ไขมันพอกตับกับ 10 สัญญาณที่ทำให้ตับเสื่อม

10 สัญญาณ ตับเสื่อม

คนเรามักมองข้ามอาการขั้นพื้นฐาน โดยไม่รู้ว่าอาการเหล่านี้เป็นอาการเริ่มต้นที่นำพาไปสู่โรค ไขมันพอกตับ หรือโรคภัยร้ายแรงที่เราคาดไม่ถึง หนึ่งในนั้นก็คือโรคตับ ความเสี่ยงนั้นเกิดขึ้นได้ทุกเพศทุกวัย ไม่จำเป็นจะต้องเป็นคนที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำเท่านั้น คนปกติที่ทานอาหารทั่วไปก็สามารถเป็นโรคนี้ได้เช่นกัน วันนี้เรามาเช็กร่างกายกันคร่าวๆดีกว่า ว่ามีสัญญาณอะไรบ้างที่มีความเสี่ยงต่อโรคนี้

  1. ตาเหลือง เป็นเพราะเลือดมีปริมาณบิลิรูบินมากเกินไป สาเหตุมาจากการที่ตับไม่สามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์ จึงทำให้บิลิรูบินคั่งอยู่ในกระแสเลือด และทำให้ตาขาวกลายเป็นสีเหลือง
  2. ตาขาวมีเส้นเลือดขึ้น เกิดจากสาเหตุที่ตับทำงานหนักเกินไป ทำให้มีอาการตาแดงโดยที่ไม่ได้ทำงานหรือใช้สายตาเลยก็ตาม
  3. หน้าหมอง เกิดจากตับทำงานได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ ผิดปกติ ทำให้สารพิษที่เข้าสู่ร่างกายนั้นไม่ได้ผ่านการกรองโดยตับ จึงทำให้ผิวพรรณและใบหน้าเราหมนหมองและไม่ผ่องใส
  4. มีน้ำตาคลอ หากไม่ได้มีอาการฝุ่นเข้าตา หรือมีความรู้สึกอื่นๆที่ทำให้ร้องไห้ อาจเป็นไปได้ว่าตับของคุณกำลังมีอาการผิดปกติอยู่
  5. เล็บหักบ่อย อาจเป็นได้ไปว่าร่างกายของเราได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ แม้ว่าจะทานอาหารให้ครบ 5 หมู่แล้วก็ตาม เกิดจากตับไม่ได้ทำงานในส่วนของส่งสารอาหารที่มีประโยชน์ไปยังอวัยวะส่วนอื่นของร่างกาย
  6. ผิวช้ำง่าย เมื่อตับของเราทำงานได้ไม่ดี การหมุนเวียนของเลือดย่อมมีปัญหาตามไปด้วย ส่งผลให้เเส้นเลือดไม่แข็งแรก และกลายเป็นคนที่ช้ำง่าย
  7. เลือดออกที่เหงือกแบบไม่มีสาเหตุ หากคุณไปพบแพทย์แล้วไม่พบความผิดปกติเกี่ยวกับสุขภาพฟัน จงพึงระวังไว้ว่าสาเหตุรองลงมาก็คือตับทำงานผิดปกติ
  8. ปวดท้องแบบระบุจุดไม่ได้ หรือปวดท้องแบบเรื้อรัง เป็นๆหายๆ เป็นอีกสัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่าตับมีปัญหา และอาจมีความเสี่ยงเป็นโรคอื่นๆตามมาได้
  9. ท้องโต หรือเท้าบวม เกิดจากการดูดซึมของตับแย่ลงจึงทำให้มีอาการเหล่านี้ หากมีไข้ร่วมด้วย ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจอย่างละเอียดทันที
  10. การใช้ชีวิตประจำวันเปลี่ยนไป มีอาการหลงลืม ไม่มีสติ หรือดูไม่เหมือนตัวเองในวันที่ปกติ อาจเป็นเพราะมีสารพิษตกค้างในร่างกาย เนื่องจากตับทำงานได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ออกซิเจนในร่างกายลดลง

ปิ้งย่าง ภัยเงียบที่ควรระวัง

เนื้อสัตว์สุดโปรดบนเตาย่างร้อนๆ พลิกไปพลิกมา เสียงดังเปี๊ยะ ซู่ซ่าๆ ชวนน้ำลายไหล แถมยังมาพร้อมกลิ่นหอมของเครื่องเทศที่เราชื่นชอบ แค่นึกก็หิวขึ้นมาทันที

แต่เดี๋ยวก่อน… อาหารปิ้งย่างที่ชวนหิวต้นปียันท้ายปีเนี่ย มันมีอันตรายแอบแฝงมาด้วยนะ ถ้ากินเป็นประจำ ระวังโรคมะเร็งจะถามหา งั้นมาดู 6 ภัยร้ายอาหารปิ้งย่าง และเทคนิคการกินกันเถอะ

6 ภัยร้ายจากอาหารปิ้งย่าง
ฝุ่นละอองที่สามารถลอย หรือแขวนลอย อยู่ในชั้นบรรยากาศ (Aerosols, แอโรซอล) จะทําให้ความเร็วของการไหลของอากาศในปอดลดลง ส่งผลให้เกิดการตกค้างของ “ฝุ่นละอองในปอด” ถ้ามีปริมาณมาก จะทําให้มีโอกาสป่วยด้วย โรคระบบทางเดินหายใจ มากขึ้น

สารอินทรีย์ระเหยง่าย (Volatile Organic Compounds, VOCs) ทําให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยแบบเฉียบพลัน และเรื้อรัง โดยมีผลโดยตรงต่อระบบทางเดินหายใจ และเป็นสารที่มีความเสี่ยงในการก่อมะเร็ง

ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ (Carbon monoxide) สามารถจับกับเลือดได้ดีกว่าออกซิเจนถึง 200-250 เท่า จึงได้ชื่อว่าเป็น “มลพิษไร้สีไร้กลิ่น” หรือ “ฆาตกรเงียบ” เมื่อได้รับก๊าซนี้ ในปริมาณมากจะทําให้ร่างกายเกิดภาวะขาดออกซิเจน และจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต

สารไนโตรซามีน ก่อให้เกิดมะเร็งในสัตว์ได้ และอาจเป็นสาเหตุหนึ่งของการ เกิดมะเร็งในตับ มะเร็งหลอดอาหาร และมะเร็งกระเพาะอาหารในคน

สารโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (พีเอเอช – PAHs) – เป็นสารพิษที่ค่อนข้างร้ายแรงมาก เป็นสารเริ่มต้นของสารก่อมะเร็ง พบในเขม่าควันไฟ ไอเสียของเครื่องยนต์ ดังนั้น จึงพบสารชนิดนี้ในส่วนที่ไหม้ เกรียมของอาหารปิ้งย่าง อาหารทอด กรอบ อาหารรมควัน เหมือนที่เราเคยได้ยินคำเตือนว่า “อย่าทานของไหม้เกรียม เสี่ยงเป็นมะเร็งได้นะ”

สารเฮทเทอโรซัยคลิก เอมีนส์ (Heterocyclic amines) – ฤทธิ์ของเจ้าสารตัวนี้ สามารถทำลายสารพันธุกรรม (หรือที่เรียกกันว่า ดีเอ็นเอ) ของร่างกายซึ่งมีผลต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร และลำไส้ใหญ่ และสารนี้ยังสามารถซึมผ่านไปสู่เนื้อเยื่ออื่นๆ ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายได้อีกด้วย

เทคนิคลดอันตรายจากอาหาร ปิ้งย่าง
เลือกร้านที่อากาศถ่ายเท – ลองหารีวิวร้านปิ้งย่าง จากโลกโซเชี่ยลว่าร้านไหน อาหารสดใหม่ บรรยากาศดี และที่สำคัญ อาการถ่ายเทไม่อึดอัด

  • เลือกเนื้อไม่ติดมัน – กินปิ้งย่างทำให้อ้วนได้ง่าย ดังนั้นให้พยายามเลือกทานเนื้อปลา และเนื้อไก่เป็นหลัก เพราะ มีไขมันน้อยกว่าเนื้อหมู และเนื้อวัว นั่นเอง

 

  • ไม่ปิ้งจนเกรียม – เพื่อลดสารก่อมะเร็ง และคงรสชาติที่ดี อย่าเผลอปิ้งอาหารจนไหม้เกรียม แต่ถ้าเผลอทำจนเกรียมแล้ว แนะนำให้ทิ้งอย่าไปเสียดาย

 

  • ส่วนรอยไหม้บนเตาปิ้งย่าง ถ้าเห็นว่าเริ่มมีเยอะแล้ว ให้พยายามทำความสะอาด หรือเปลี่ยนเตาปิ้งย่าง เพื่อลดสารพิษนั่นเอง

 

  • ดื่มน้ำเปล่า – เข้าใจว่าอาหารปิ้งย่าง มักต้องทานคู่กับน้ำอัดลม แต่เพื่อสุขภาพที่ดี ควรเลี่ยงน้ำอัดลม หรือดื่มให้น้อยที่สุด แล้วเลือกดื่มน้ำเปล่าแทน ก็จะช่วยลดความเสี่ยงโรคอ้วนได้ แถมน้ำเปล่ายังมีประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย

 

  • ทานผักเยอะๆ – นอกจากเมนูเนื้อสัตว์ต่างๆ ก็ควรเพิ่มเมนูผักเข้าไปด้วย

 

  • ใช้เตาไฟฟ้า – เตาไฟฟ้านอกจากจะไร้ควันที่ก่อมลพิษแล้ว ยังสามารถควบคุมระดับความร้อนได้มากกว่าการใช้เตาถ่านด้วย

 

  • น้ำจิ้มต้องสดใหม่ – น้ำจิ้มที่ดีและรสชาติอร่อย ควรทำสดใหม่ ไม่ใช้น้ำจิ้มค้างคืน เพื่อรสชาติที่ดี และป้องกันการเกิดอาการท้องร่วงได้อีกด้วย

เครียดทำไม ออกกำลังกายให้คลายเศร้า

ออกกำลังกายคลายเศร้าบรรเทาเครียด
เราสอนกันมานานแล้วว่า การออกกำลังกายเป็นแนวทางหนึ่งที่จะคงไว้ซึ่งร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง ช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ความอ้วน และโรคอื่นๆอีกสารพัด และนับวัน ผลการวิจัยยิ่งชี้ชัดว่า การออกกำลังกายช่วยลดอาการทางจิตได้หลายอาการ ไม่ว่าจะเป็นความเครียดหรือซึมเศร้า ทั้งยังป้องกันการกลับเป็นซ้ำได้ด้วย
การออกกำลังกายไม่ได้หมายถึงการออกแรงอย่างหนัก เหงื่อตกมากๆ การออกกำลังกายที่ให้ผลทางสุขภาพจิตนั้นแม้เพียงแค่เดินปกติสัก 10 นาทีก็ได้ผลแล้ว เพราะเราไม่ได้มุ่งหวังจะลดน้ำหนักสัก 1 -2 กิโลกรัมที่ต้องวิ่งเป็นระยะทางไกลๆ วิ่งเร็วๆ ให้เหงื่อแตกพรั่กๆ

ในทางตรงกันข้าม การออกกำลังกายทางจิตวิทยานั้น หมายถึงการทำร่างกายให้แอคทีฟขึ้นเพื่อส่งผลให้ลดอารมณ์ทางด้านลบและเพิ่มอารมณ์ด้านบวกให้มากขึ้น และยิ่งมีการวางแผนให้เหมาะสมก็จะยิ่งได้ผลมากยิ่งขึ้นด้วย

แม้ว่า กลไกที่การออกกำลังกายส่งผลลดอาการ เศร้า เครียด กดดัน เหนื่อยล้าจิตใจ หงุดหงิดโมโห หรือแม้แต่สิ้นหวังนั้นยังไม่มีใครทราบแน่ชัด แต่ในทางสรีรวิทยา การออกกำลังกายช่วยเพิ่มระดับของสารเคมีในสมอง หรือสารสื่อประสาทที่ปรับอารมณ์ให้ดีขึ้น อย่างเช่น เอนดอร์ฟิน (endorphins) ช่วยคลายกล้ามเนื้อ หลับลึกขึ้น ลดฮอร์โมนความเครียด และมีผลให้จิตใจสงบขึ้น

ประโยชน์ในทางสุขภาพจิต

– เพิ่มความสำเร็จและความเชื่อมั่นในตนเอง
การออกกำลังกายเพิ่มความรู้สึกว่า เราทำอะไรได้สำเร็จและเมื่อต่อเนื่องนานๆ เข้าก็จะผันเป็นเพิ่มความเชื่อมันในตนเอง ดอกเตอร์คริสตินบอกว่า ความรู้สึกเชื่อมั่นมั่นใจในการเปลี่ยนแปลงตัวเองสำเร็จเป็นพลังด้านบวกที่จะโน้มน้าวให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านบวกอื่นๆ ให้เกิดขึ้นตามมา เขายังอธิบายต่อไปว่า เวลาที่คนเราซึมเศร้า เรามักจะคิดว่า เราไม่มีแรง หรือพลังเพียงพอที่จะดูแลตัวเอง หรือรับผิดชอบอะไรต่อมิอะไร คนที่ซึมเศร้าจะขาดความเชื่อมั่นในตนเอง รู้สึกขาดประสิทธิภาพ จึงทำให้ทำอะไรไม่ได้ ดังนั้นการได้ออกกำลังกายจะเป็นจุดเริ่มต้นของการกลับมาสัมผัสความสำเร็จเล็กๆ ขั้นต้นได้อีกครั้งหนึ่งอันเป็นก้าวแรกของก้าวต่อๆ ไป

– หันเหความสนใจไปในทางบวก
เมื่อเวลาที่เราเศร้าหรือเครียด เรามักสนใจหมกมุ่นกับตัวเอง กับอาการ และผลของอาการ วนเวียนอยู่อย่างนั้น สิ่งนี้เป็นผลาญเวลาไปกับสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ นอกจากนั้นมันยังลดประสิทธิภาพในการขบคิดแก้ปัญหา ทำให้วงจรร้ายอันนี้ดำดิ่งยิ่งขึ้น ในทางตรงกันข้าม การออกกำลังกาย ทำให้เราหันเหความสนใจออกไปเรื่องอื่น ละความคิดในแง่ลบลง โฟกัสกับสิ่งหรือคนอื่นๆ บ้าง ยิ่งไปกว่านั้น การไปออกกำลังกายจะได้พบเห็นสิ่งต่างๆ พบผู้คน หรือการเปิดเพลงไปพร้อมๆ การออกกำลังกายก็ช่วยผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี

– เพิ่มความมีคุณค่าในตัวเอง
การออกกำลังกายช่วยฟื้นฟูอาการที่คิดว่าตัวเองไร้ค่าไร้ประสิทธิภาพ ออกกำลังกายแม้เพียงนิดก็ช่วยให้เรามองตัวเองดีขึ้น เห็นคุณค่าในตัวเรา และคิดที่จะทำตัวเราให้เป็นประโยชน์เพิ่มขึ้น

– จับคู่ในทางบวก
ในระหว่างการออกกำลังกายนั้น ร่างกายเรามีการเปลี่ยนแปลงของการหายใจ เหงื่อออก ชีพจรเร็วขึ้น อาการเหล่านี้คล้ายกับอาการที่เกิดเมื่อเวลาเราเครียด แต่อาการที่เกิดขณะออกกำลังกายเหล่านี้เกิดขึ้นคู่กับความรู้สึกดีๆ ทางจิตใจของการได้ออกกำลังกาย ดังนั้นโดยอัตโนมัติจิตใจของเราก็จะจับคู่อาการใจสั่น เหงื่อออก หายใจเร็วหรือขัด ไปในทางบวก ต่อต้านกับความรู้สึกเดิมๆ ทำให้เรามองหรือเห็นอาการทำนองนี้ไปในด้านบวกมากขึ้น ลดหรือเลิกกลัวกับอาการเหล่านี้ที่เดิมเคยคิดว่ามันเป็นความเครียด เรียนรู้ที่จะอยู่กับมันได้โดยไม่กลัวมัน

– สิ่งแวดล้อมพร้อมสนับสนุน
การออกกำลังกายเปิดโอกาสให้เราได้สัมผัสกับสิ่งแวดล้อม ผู้คนแวดล้อมในทางบวก เพราะคนซึมเศร้ามักแยกตัวเอง การออกกำลังกายทำให้ได้พบปะผู้คน ยิ่งเป็นผู้คนที่ชอบออกกำลังกาย คนเหล่านี้อารมณ์แจ่มใสอยู่แล้ว รอยยิ้ม คำพูด เสียงหรือสิ่งต่างๆรอบตัวล้วนเสริมอารมณ์ให้แจ่มใสง่ายขึ้น

– ทักษะการคิดในทางบวก
การทำอะไรในทางบวกที่จะจัดความเครียดความเศร้าเป็นประสบการณ์ด้านบวก เป็นการเรียนรู้ว่าวิธีจัดการกับอาการเหล่านั้นทำได้ และสำเร็จด้วย เพราะแทนที่จะนั่งรอให้ความเครียดความเศร้ามันหายไปเอง การได้ช่วยตัวเองด้วยการออกกำลังกายจึงทักษะหรือประสบการณ์ในด้านบวกให้เพิ่มมากขึ้น

การฝืนความฝืด

แน่นอนครับ การลุกขึ้นมาออกกำลังกายสำหรับคนที่ไม่เคย ไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นความฝืดที่ยิ่งใหญ่แบบหนึ่ง ข้างล่างนี้เป็นแนวทางบางประการที่จะช่วยลดความฝืดเหล่านั้นลงหาวิธีออกกำลังกายแบบที่เราสนุก ไม่ว่าจะเป็นชนิดของการออกกำลังกาย เวลาที่สะดวก สถานที่รู้สึกดีๆ กับคนที่ชอบ ฯลฯจะช่วยให้การออกกำลังกายสนุกขึ้นได้ ตั้งเป้าแบบที่เป็นไปได้ การตั้งเป้าแบบเริ่มต้นก็จะออกกำลังกายหนึ่งชั่วโมงต่อวันนั้น บางทีเป็นเป้าที่สูงเกินจริง ค่อยๆ เริ่มค่อยๆ ทำครับ อาจแค่วันละ 5 นาทีแล้วเพิ่มก็ได้ จะได้มีกำลังเพราะทำสำเร็จได้ง่าย

ซอยย่อยแผนการออกกำลังกาย สมมติว่า อยากออกกำลังกายให้ได้ 45 นาทีต่อวัน ให้แบ่งเป็น เดิน 10 นาที แกว่งแขน 5 นาที พัก 5 นาที วิ่งอีก 10 นาที ฯลฯ แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นจนถึงเป้าหมายที่เราตั้งไว้ เมื่อเราประสบความสำเร็จเล็กๆ ความสำเร็จที่ใหญ่กว่าก็อยู่ไม่ไกล ขอให้แค่เริ่มเท่านั้นอย่าคิดว่าการออกกำลังกายเป็นภาระ ให้คิดเสียว่า มันเป็นยาชนิดหนึ่งที่จะช่วยรักษาหลายโรค ทั้งยังลดความเฉื่อย เพิ่มความเชื่อมั่น เพิ่มการมองแง่บวก ฯลฯ

เตรียมพร้อมสำหรับอุปสรรค ใหม่ๆอาจมีเยอะ แต่พอผ่านพ้นไปทีละขั้นทีละน้อยมันจะน้อยไปเอง การแบ่งแผนการออกกำลังเป็นข้อย่อยๆ ช่วยให้เวลาที่เราทำไม่สำเร็จในขั้นใด จะไม่เสียหายไปทั้งหมด ไม่ต้องเริ่มใหม่หมด เราสามารถที่จะเริ่มต้นในจุดต่อไปได้ อย่างน้อยก็ไม่คิดว่ามันพังทั้งหมด

ยึดมั่นกับการแผนออกกำลังกาย

การเริ่มต้นเป็นสิ่งที่ยาก แต่การรักษาไว้ดูจะยากยิ่งกว่า ดังนั้นเราต้องเตรียมการเอาไว้ครับ เอาไว้แก้ไขสถานการณ์ไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น ฝนตก มีทางเลือกอื่นๆ ของการออกกำลังกายไหม หารองเท้าไม่เจอ ตื่นสาย ฯลฯ ต้องมีทางออกเอาไว้ การคิดถึงผลดีต่างๆ ในการออกกำลังกาย และสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปในทางดีที่เกิดขึ้นจะช่วยให้เรายึดอยู่กับออกกำลังกายได้นานขึ้น แรงผลักอื่นๆ ก็เช่นกัน ให้หามาเป็นแรงจูงใจให้ออกกำลังกายได้ต่อไป และอย่าลืมว่า ซอยย่อยแผนการออกกำลังกายเป็นขั้นเล็กๆ ช่วยให้เรื่องที่ฝืดลื่นขึ้น เมื่อล้มนิดล้มหน่อยจะลุกและก้าวต่อได้ง่ายขึ้นครับ